โรคเก๊าท์ รักษาให้หายขาดได้ รู้หรือไม่?



โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบ ที่เกิดจากภาวะที่ร่างกายมีกรดยูริกสูงมากในเลือด สะสมมาเป็นระยะเวลานาน จนกรดยูริกนั้นตกตระกอนอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย อาจใช้เวลานานถึง 10 ปี กว่าจะแสดงอาการข้ออักเสบ ปวดแดงร้อนที่ข้อ

ถ้ากรดยูริกสะสมตามผิวหนังจะทำให้มีปุ่มนูนขึ้นตามผิวหนัง แต่ถ้ากรดยูริกไปตกตระกอนที่ไต จะทำให้เกิดนิ่วในไต และไตเสื่อมได้ในที่สุด

กรดยูริกคืออะไร?
กรดยูริก เกิดจากร่างกายสร้างขึ้นเอง ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ และอีก20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ เกิดจากการที่เรารับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูงมากจนเกินไป ซึ่งสารพิวรีนจะพบในสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ พืชผักบางชนิด และอาหารทะเลบางอย่าง

โดยปกติร่างกายสามารถขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะได้ แต่บางคนร่างกายไม่สามารถขับกรดยูริกออกได้หมด ทำให้มีกรดยูริกสะสมอยู่ตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณข้อและกระดูก ผนังหลอดเลือด และไต ซึ่งเป็นสาเหตุหลักในการเกิดโรคเก๊าท์

อาการของโรคเก๊าท์
ในระยะแรกจะมีอาการปวดแดงร้อนเฉียบพลัน 24 ชั่วโมงแรกจะปวดมากที่สุด จะไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า อยู่ดีๆก็ปวดขึ้นมาเลย โดยเฉพาะที่นิ้วโป้งเท้า และตรงข้อเท้าเข่า หลังจาก 24 ชั่วโมงผ่านไปอาการจะเริ่มดีขึ้น และจะหายสนิทภายใน 5-7 วัน

ในระยะแรกจะมีอาการอักเสบแค่บริเวณเดียว หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง จะทำให้โรคค่อยๆ ลามไปจุดอื่นทั่วร่างกาย มีอาการจะปวด บวม นานขึ้น และรุนแรงขึ้น ปัจจัยที่ทำให้เป็นโรคเก๊าท์

ผู้ที่มีกรดยูริกสูงเป็นระยะเวลานานโดยไม่รู้ตัว หรือ มีกรรมพันธุ์เป็นโรคนี้ บวกกับมีพฤติกรรมชอบกินอาหารที่มีสารพิวรีนสูงเป็นประจำ ซึ่งสารพิวรีน เป็นสารตั้งต้นที่ก่อให้เกิดกรดยูริก โดยเฉพาะแอลกอฮอล์ เป็นตัวสำคัญที่ทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น คนที่เป็นโรคอ้วน น้ำหนักเกินมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้

โรคเก๊าท์เป็นได้ทุกวัย
โรคเก๊าต์สามารถพบได้ตั้งแต่เด็ก แต่ส่วนใหญ่จะพบในเพศชายอายุ 30-40 ปีขึ้นไป เพราะโรคเก๊าท์จะ ต้องใช้เวลาในการสะสมกรดยูริกนานเป็น 10 ปี กว่าจะแสดงอาการ และสาเหตุที่ผู้ชายเป็นโรคเก๊าท์มากกว่าผู้หญิงถึง 10 เท่า เพราะผู้ชายดื่มแอลกอฮอร์มากกว่าผู้หญิง ผู้หญิงจะไม่เป็นโรคเก๊าท์ จนกว่าประจำเดือนจะหมด

สำหรับผู้หญิงจะต่างกับผู้ชาย ผู้หญิงจะเป็นโรคเก๊าท์ในวัยหมดประจำเดือนไปแล้ว เพราะช่วงที่มีประจำเดือนอยู่นั้นจะมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งจะช่วยขับกรดยูริกออกจากร่างกาย ดังนั้นผู้หญิงก่อนวัยหมดประจำเดือนจะไม่เป็นโรคเก๊าท์ แต่พอหลังประจำเดือนหมดไปประมาณ 5-10 ปี ก็จะเริ่มมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนี้ได้

อันตรายของโรคเก๊าท์
ไม่ถึงกับเป็นอัมพาตแต่เปรียบเสมือนเป็นอัมพาต เพราะปวดข้อมากตลอดเวลา ต้องนอนอยู่บนเตียงตลอด เดินไม่ได้ เดินไม่ไหว ในบางรายอาจจะมีอาการไตวายด้วย เพราะมีการสะสมของกรดยูริกที่ไต หรือการที่ผู้ป่วยปวดข้อมากๆ แล้วซื้อยาแก้ปวดมาทานเอง การทานยาแก้ปวดนานๆ ในการรักษาการปวดข้อโดยไม่ขจัดต้นตอของโรค ก็จะทำให้ไตวายได้คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีกรดยูริกสูง
ควรรีบปรึกษาแพทย์ และใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เลือกรับประทานอาหารที่ดี งดเว้นแอลกอฮอล์ไปก่อน ตรวจสุขภาพทุกปี เพื่อดูค่ายูริกว่าสามารถควบคุมได้หรือไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นโรคเก๊าท์


การรักษาโรคเก๊าท์ในระยะแรก ในระยะแรกที่มีอาการเฉียบพลัน คือ ปวด บวมแดง ร้อน จะใช้ยาแก้ปวดเพื่อลดอาการ ดูแลตัวเองและป้องกันไม่ให้เกิดอาการซ้ำอีกโดยการงดเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทานอาหารที่มีพิวรีนให้น้อยลง
การดื่มน้ำเยอะๆ สามารถช่วยขับกรดยูริกออกมาทางปัสสาวะได้ หรือการดื่มนมสดก็ช่วยลดกรดยูริกได้เหมือนกัน

แต่ถ้ากินยาแก้ปวดและดูแลตัวเองแล้ว ยังมีอาการกำเริบบ่อยกว่า 2-3 ครั้งต่อปี จะต้องใช้ยาลดกรดยูริก

การรักษาโรคเก๊าต์แบบไม่ใช้ยา โดยการควบคุมอาหาร สามารถช่วยลดอาการปวดได้ แต่การควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับการรักษาโรคเก๊าต์ให้หายขาดได้

ห้ามใช้วิธีนวด เพื่อบรรเทาอาการปวด
ถ้ามีอาการปวดห้ามบีบนวดเด็ดขาด เพราะการบีบนวดจะทำให้กรดยูริกวิ่งเข้ามาในข้อเยอะมากขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น แต่ควรจะพักการใช้งานของข้อ ให้นอนพักและประคบเย็นเท่านั้นก็เพียงพอ โดยใช้น้ำแข็งประคบเมื่อมีอาการปวดตามข้อเพื่อลดอาการปวด และถ้าปวดที่เท้าให้ยกเท้าสูง เพื่อช่วยลดการอาการบวม

ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรออกกำลังกายอย่างไร?
ช่วงที่ข้ออักเสบ ปวด บวม ไม่ควรออกกำลังกาย ควรพักผ่อนให้เพียงพอ รักษาให้ดีขึ้นก่อน แล้วค่อยเริ่มออกกำลังกายทีละนิด ออกกำลังกายทั่วไปที่ไม่เน้นหนักไปที่ข้อมากจนเกินไปนัก เพราะข้อที่อักเสบบ่อยๆ จะทำให้ข้อเสื่อมได้ ช่วงปกติให้ออกกำลังกายธรรมดาตามวัย


โรคเก๊าท์ รักษาให้หายขาดได้1.โดยการกินยาแผนปัจจุบันเพื่อควบคุมระดับกรดยูริกไม่ให้สูง แต่ผู้ป่วยต้องกินยาอย่างสม่ำเสมอ ไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง ส่วนใหญ่ใช้เวลาประมาณ 5-10 ปี เป็นอย่างน้อย และปรับพฤติกรรมการกิน


2.โดยการใช้แพทย์ทางเลือกจากการกินยาสมุนไพร ซึ่งเป็นทางเลือกอีกทางที่หลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของยาแผนปัจจุบัน ในที่นี้แนะนำ ยาน้ำสมุนไพรโหย่งเหิง หรือ ยาเม็ดสมุนไพรโหย่งหมิง ซึ่งมีทั้งตัวยาที่ช่วยรักษาโรค ปรับสภาพสมดุลของร่างกาย และขับสารพิษออกจากร่างกายด้วย


แต่ก็ต้องระวังถ้าหายขาดแล้ว แต่ยังมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารเหมือนเดิมก็จะกลับไปเป็นอีกได้


อ้างอิง  ศูนย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อ โรงพยาบาลพญาไทย



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็บคอมากขนาดไหน สังเกตตัวเองด่วนว่าเป็น ต่อมทอนซิลอักเสบ หรือไม่ !!

FISH OIL น้ำมันปลา ดีต่อสุขภาพอย่างไร เรื่องที่คุณต้องรู้

“ไม่ฟอกไต ฟอกเลือด ล้างไต” ได้หรือไม่?