ระวัง!! หอบ เหนื่อย ไม่มีแรง หน้ามืดเป็นลมบ่อยๆ เสี่ยง ลิ้นหัวใจ เสื่อมสภาพ


ลองสังเกตตัวเอง สำหรับผู้ที่มีอาการ หอบ เหนื่อย ไม่มีแรง หน้ามืดเป็นลมบ่อยๆ อาจมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจ เนื่องจากลิ้นหัวใจเสื่อมสภาพ กรอบ แข็ง ความยืดหยุ่นน้อย และมีไขมันหินปูนเกาะ ทำให้ลิ้นหัวใจเปิดหรือปิดไม่สนิท ลิ้นหัวใจเป็นโครงสร้างสำคัญที่กั้นห้องหัวใจทั้ง 4 ห้อง ทำหน้าที่หลักคือควบคุมให้เลือดไหลไปทิศทางที่ถูกต้อง ทำให้เลือดไหลเวียนเป็นปกติ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมากต่อการทำงานของหัวใจ เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายได้อย่างเพียงพอ ได้สมดุลย์และมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่เกิดภาวะการขาดเลือด ที่อาจเสียชีวิตในทันทีหรือภาวะหัวใจวายเพราะการทำงานหนักเกินไป ส่วนใหญ่ลิ้นที่มีปัญหา คือ Mitral Valve/Aortic Valve ซึ่งเป็นลิ้นหัวใจฝั่งซ้าย ส่วนใหญ่พบในผู้สูงอายุ มีบางครั้งพบในเด็ก โดยทั่วไปโรคที่เกิดจากลิ้นหัวใจที่พบบ่อย มี 3 ประเภท คือ
1. Rheumatic heart disease เกิดจากการติดเชื้อ เกิดภูมิต้านทานผิดปกติ ทำลายเนื้อเยื่ออื่นๆ รวมทั้งลิ้นหัวใจด้วย เมื่อถูกทำลายก็จะมีพังพืดและแคลเซียมเกาะ ทำให้ลิ้นหัวใจ เปิดปิดไม่ดีเหมือนปกติ หัวใจจึงต้องทำงานหนักมากขึ้น
2. Degenerative การที่ลิ้นหัวใจเสื่อมสภาพตามอายุ ส่วนใหญ่พบในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อเสื่อมสภาพตามอายุ ทำให้ลิ้นหัวใจผิดรูปเกิดการเปิดปิดที่ไม่สนิท ซึ่งจะทำให้เกิดอาการลิ้นหัวใจรั่ว
3.โรคลิ้นหัวใจจากภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบ เกิดกล้ามเนื้อตาย มีผลต่อ การทำงานของลิ้นหัวใจทำให้ลิ้นหัวใจรั่ว ส่วนใหญ่จะเป็นกับคนอายุ 50-60 ปี
ปัจจุบันการรักษาได้พัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้นความเสี่ยงของภาวะแทรก ซ้อนน้อยลงการรักษามี 2 วิธี คือ
1.การซ่อมลิ้นหัวใจ (Vale Repair) ทำได้หลายวิธีตามแต่สาเหตุ กรณี ดังนี้เช่น ลิ้นหัวใจ Rheumatic ลิ้นหัวใจแข็ง มีการตีบ การรั่ว เกิดจากแคลเซียมไปเกาะตัวที่ลิ้นหัวใจทำให้เป็นพังพืด สามารถทำการซ่อมลิ้น โดยการลอกแคลเซียมที่จับตัวออก และหาเนื้อเยื่ออื่นมาซ่อมแทนเพื่อให้ลิ้นหัวใจทำงานได้ใกล้เคียงปกติ หรือเหมือนเดิม Degenerative ลิ้นหัวใจเสื่อมสภาพตามวัย เช่น เอ็นยึดลิ้นหัวใจที่ยืด หรือขาด ลิ้นหัวใจรั่ว จำเป็นต้องใช้เทคนิคหรือวิธีการผ่าตัดมาซ่อมแก้ไขให้กลับทำงานได้ตามเดิมผลการผ่าตัดซ่อมลิ้นหัวใจ ส่วนใหญ่ทำให้คนไข้อาการดีขึ้น เหนื่อยน้อยลง และผลระยะยาวจะดีกว่า เนื่องจาก ไม่ต้องกังวลกับภาวะแทรกซ้อนจากยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด
สิ่งสำคัญในการรักษาไม่ว่าจะเป็นการซ่อมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจ คือ ประสบการณ์ความเชี่ยวชาญชำนาญของแพทย์ เพื่อให้การวินิจฉัยที่แม่นยำและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
2. การเปลี่ยนลิ้นหัวใจ (Valve Replacement) ซึ่งมีการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจซึ่งมีอยู่ 2 ประเภท ลิ้นหัวใจที่เป็นโลหะ อายุงานคงทน แต่การเปลี่ยนลิ้นหัวใจชนิดนี้ต้องกินยาละลายลิ่มเลือด เพื่อป้องกันเลือดแข็งตัวไปตลอดชีวิต การกินยาละลายลิ่มเลือดดังกล่าวอาจทำให้เกิดผลแทรกซ้อนที่รุนแรงได้หากทานยาไม่ถูกต้อง ลิ้นหัวใจอีกชนิดหนึ่ง เป็นลิ้นที่ทำจากเยื่อหุ้มหัวใจหมูหรือวัว จะทำให้เกิดลิ่มเลือดต่ำเพราะไม่ใช่โลหะ ไม่จำเป็นต้องกินยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดไปตลอดชีวิต แต่เนื่องจากเป็นเนื้อเยื่อของสิ่งอื่น จึงทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายต่อต้าน จนทำให้เกิดพังพืด มีแคลเซียมมาเกาะจนทำให้ลิ้นหัวใจแข็งและลิ้นเสียหายได้
สิ่งที่ควรพิจารณาสำหรับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจคือ ถ้าเปลี่ยนด้วยเนื้อเยื่อ จะมีอายุการใช้งาน 10 – 15 ปี หลังจากนั้นอาจต้องพิจารณาผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจอีกครั้ง ในขณะที่เปลี่ยนลิ้นหัวใจที่เป็นโลหะ ต้องทานยาป้องกันการแข็งไปตลอดชีวิต ซึ่งมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนในสมองได้สูง ตามเวลาที่ผ่านไป
แต่เดี๋ยวก่อน ปัจจุบันนี้ได้มีการรักษาจากแพทย์แผนทางเลือก คือการใช้สมุนไพรช่วยบำบัดอีกทาง ซึ่งสามรถรักษาควบคุ๋กับการรักษาจากการแฟทย์แผนปัจจุบันได้ และผลข้างเคียงน้อยกว่าการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ในที่นี้แนะนำยาสมุนไพรจีน โหย่งเหิง หรือ ยาเม็ดสมุนไพรโหย่งหมิง ซึ่งมีตัวยาสมุนไพร เช่น ตังถั่งเฉ้าปัก,เต็กย้ง(เขากวาง),เก๊ากี๊,โต่วต๋ง  และอีกกว่า กว่า 30 ชนิด ที่ช่วยปรับสภาพสมดุลของร่างกายปรับสภาพเลือด บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ โดยสมุนไพรธรรมชาติ และขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยบำบัดรักษาโรคแห่งความเสื่อมต่างๆ 
เครดิต นายแพทย์ทวีศักดิ์ โชติวัฒนพงษ์ ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็บคอมากขนาดไหน สังเกตตัวเองด่วนว่าเป็น ต่อมทอนซิลอักเสบ หรือไม่ !!

FISH OIL น้ำมันปลา ดีต่อสุขภาพอย่างไร เรื่องที่คุณต้องรู้

“ไม่ฟอกไต ฟอกเลือด ล้างไต” ได้หรือไม่?